แม้จะเป็นยามบ่ายแต่หลายวันมานี้อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน
บรรยากาศอย่างนี้ทำหลายคนเหงามานักต่อนัก
เหงา...
นั่นสิ
ตอนนี้อยากคุยกับใครสักคน…
เปิดโทรศัพท์ขึ้นมาไล่ดูรายชื่อใน Line
ไล่ดูชื่อไปก็คิดไป เวลาแบบนี้จะมีใครเขาว่างมานั่งคุยกับเราด้วยเหรอ
พลันสายตาสะดุดเข้ากับ Line ของร้านทัชมาฮาล
เห็นมีอัพเดทรายชื่อน้องๆที่มาร้าน วันนี้เลิฟลี่มาด้วย
ติดต่อถามเวลาว่างและจองในเวลาไม่นาน อีกแป๊บนึงเจอกัน
เลี้ยวรถเข้ามาที่จอดรถเสร็จสรรพก็เห็นรถสีขาววิ่งตื๋อออกไปอย่างเร็ว
คงเป็นลูกค้าคนก่อนเพิ่งฟินกลับไปล่ะมั้ง
เดินเข้ามาในร้านเจอน้องแบงก์ PR ร้านที่มาดูแลแทนพี่เป้ทักทาย
น้องถามที่จองเลิฟลี่ไว้ใช่ไหม เลิฟลี่เพิ่งขับรถออกไปเมื่อกี้เอง
อ้าว…
ไอ้คันขาวตะกี๊เลิฟลี่เองเหรอ…
น้องกลับบ้านแล้วเหรอ…
แล้วกูมาทำอะไรที่นี่ล่ะเนี่ย…
ก่อนจะโศกหนักไปกว่านี้น้องแบงก์ก็บอกว่าน้องออกไปทำธุระข้างนอกแป๊บนึงเดี๋ยวเข้ามา
โล่งอก…นึกว่าจะเสียเที่ยวซะแล้ว น้องแบงก์เชิญให้เรานั่งรอก่อน น้องผู้หญิงอีกคนก็ยกน้ำเสิร์ฟให้เราดื่มรอเย็นใจ
วันนี้ที่ทั้ชมาฮาลดูเหงาๆ อาจจะเพราะเป็นวันทำงานกลางสัปดาห์ด้วยกระมัง
แอบคิดถึงพี่เป้… ถ้าตอนนี้เป็นพี่เป้อยู่แกคงชวนคุยเฮฮาหัวเราะกันลั่นร้าน
ไม่ใช่ว่าน้องแบงก์ไม่ดี แต่แค่แอบคิดถึงพี่เป้ไม่ได้ เพราะครั้งแรกที่มาร้านนี้ก็เจอพี่เป้ต้อนรับขับสู้เป็นคนแรก
แล้ววันนั้นก็เป็นวันที่ได้เจอเลิฟลี่เป็นครั้งแรกเช่นกัน
บรรยากาศร้านเหงาๆ มีเพลงเปิดเบาๆ เอนหลังบนโซฟานุ่มๆ จนเผลอหลับไป
ลืมตาตื่นมาอีกทีพอดีกับเลิฟลี่ที่เพิ่งกลับมา
น้องจัดการธุระต่ออีกสักครู่ก็เดินมานั่ง (เว้นระยะ) ข้างๆถามไถ่ว่าที่จองไว้ใช่ไหม
“พี่เคยมาที่นี่ไหมคะ ?” น้องถามเสียงใส
“เคยครับ เคยเจอน้องด้วยแหละ”
น้องทำหน้ายิ้มแกมประหลาดใจ พยายามเพ่งพินิจว่าเคยเจอกันด้วยเหรอ “จริงอ่ะ” เลิฟลี่ยังคงสงสัย
“ครับ ที่น้องข่วนพี่ไง” ยกมือขยุ้มเป็นกรงเล็บเกาแกรกๆในอากาศให้ดู
“อ๋อ ~ จำได้ละ แต่เดี๋ยวนะ คราวก่อนพี่มาไม่มีหนวดใช่ไหม ?” น้องถามพลางขยับตัวเข้ามาประชิด
ครับ ช่วงนี้ผมลองไว้หนวดดู กะว่าจะทำให้หน้าดูเข้มขึ้นสักหน่อย
“โอเคไหมอ่ะ ?” ผมถาม
เลิฟลี่ส่ายหน้าดิก “ไม่เลยค่ะ ดูแก่มากกว่าเดิมอีก”
…โอเคครับ กลับบ้านวันนี้โกนทิ้งให้เ*ไม่อนุญาต#06*้ยน
ถึงตอนนี้เราก็นั่งชิดกันแล้วครับ น้องเล่าให้ฟังว่าพี่เอ๊บบี้ส่งการบ้านของผมที่บอกว่าโดนข่วนให้อ่านด้วย (ขอบพระคุณพี่เอ๊บบี้ครับ)
น้องบอกชอบการบ้านที่ผมเขียน (ดีใจจัง) เพราะไม่ได้ดูหื่นเกินไปเหมือนการบ้านของคนอื่น
เพราะการบ้านฉบับนั้นก็เลยทำให้เราจูนกันติดได้เร็วขึ้น เลยได้ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบน้องประมาณนึง
น้องเล่าให้ฟังว่ามีพักนึงที่น้องหายไปเลยเพื่อไปฟิตร่างกาย ไปกินอาหารชีวจิตดีทอกซ์ร่างกาย
“ช่วงนั้นหนักมากพี่ บางวันหนูรับงานต่อเนื่องสี่คนติด เสร็จคนนึงออกมาเจอนั่งรอคิวต่อแล้ว”
น้องพยายามเชียร์ลูกค้าให้ขึ้นกับน้องๆคนอื่นบ้าง แต่ลูกค้าก็ไม่ยอมจะขึ้นเลิฟลี่เท่านั้น
เธอก็ขัดไม่ได้ เวลาพักก็แทบไม่ได้พักทำได้แค่ขอเวลาแต่งหน้าห้านาทีแล้วขึ้นงานต่อทันที
ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่ก็มีน้องผู้หญิงมาสมัครงานใหม่อีกคน …จะว่าไปพักนี้ทัชมาฮาลก็มีน้องใหม่มาเรื่อยๆ
“คนนี้ก็แชมเปญ” เลิฟลี่บอกว่าคนที่ยกน้ำมาให้ผมนี่คือน้องแชมเปญนี่เอง
แต่น้องๆบางคนก็อยู่ไม่นานเพราะเห็นบอกว่าไม่ได้ลูกค้ากันเท่าไร
ส่วนหนึ่งที่น้องๆไม่ค่อยมีลูกค้าอาจเป็นเพราะน้องที่มาใหม่ไม่ค่อยสะดวกเรื่องการถ่ายรูปด้วย
แถมด้วยความที่มาใหม่ก็เลยไม่รู้ว่างานเป็นอย่างไรบ้าง ลูกค้าก็ไม่กล้าขึ้นเพราะกลัวไม่ถูกใจ
ผิดกับเลิฟลี่ที่กลายเป็นดาวเด่นประจำร้านไปแล้ว ด้วยกระทู้รีวิวที่มีรูปประกอบ (อย่างน้อยของพี่เอ๊บบี้ก็สองสามกระทู้ละ)
พอมีกระทู้เชียร์เยอะก็เป็นเครื่องการันตีได้ว่างานดีจริงอะไรจริง ทุกคนจึงคาดหวังจะมาหาเลิฟลี่หมด
ไม่ได้บอกว่าการมีกระทู้เชียร์ดีไปซะทั้งหมดหรอกครับ เพราะอย่างเลิฟลี่ก็ต้องรับงานหนักมากจนต้องบอกปัดไปก็หลายทีเหมือนกัน
“โชคดีว่าหนูถ่ายรูปขึ้นด้วยหรอกนะ” เธอเปิดรูปที่เธอถ่ายเล่นในโทรศัพท์ให้ดู แต่ละรูปที่เธอให้ดูนี่เห็นแล้วใจสั่นเอาได้ง่ายๆ
“เดี๋ยวนี้ก็รับงานน้อยลง ให้น้องๆคนอื่นบ้าง” พอดีกับที่มี Line ถามน้องแบงก์ว่าเลิฟลี่ว่างกี่โมง น้องก็บอกปัดไปบอกวันนี้ไม่รับแล้ว
เรานั่งคุยกันอยู่นานจนอากาศเริ่มเย็น ฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว
“เข้าห้องเลยไหมคะ ?”
ผมเดินตามน้องเข้าห้องไปท่ามกลางไอชื้นของอากาศก่อนฝนตก
ในห้องนั้นน้องยังคงชวนคุยด้วยน้ำเสียงสดใส น้องคุยไปพลางอาบน้ำให้ไปพลาง น้องยังคงอาบน้ำอย่างใส่ใจเหมือนเคย
น้องบอกว่าทุกวันนี้เก็บเงินได้ก้อนนึงแล้วตั้งใจว่าอยากเปิดร้านอาหาร ขายกาแฟ ขายดอกไม้เป็นของตัวเอง
น้องเล่าให้ฟังถึงจุดเปลี่ยนชีวิตที่ทำให้เลิกเที่ยว เลิกติดเพื่อนและหันมาทำงานเพื่อแม่
“หนูบอกแม่ว่าต่อไปแม่ไม่ต้องทำงานแล้ว หนูให้แม่อยู่บ้านปลูกผักเลี้ยงหมาไป ให้แม่ได้อยู่สบายๆ”
เธอเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะหนูมีแม่คนเดียว หนูอยากให้แม่อยู่กับหนูนานๆ”
เราทุกคนก็เป็นอย่างนี้ เราต่างมีมุมที่ไม่ได้เปิดเผยกับคนทั่วไป
น้องก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความฝัน ความหวัง ความมุ่งมั่นที่จะตอบแทนผู้มีพระคุณ
ซึ่งผมฟังแล้วก็เชื่อว่าเธอคงทำมันได้สำเร็จในเร็ววันแน่ๆ
เราเช็ดตัวหมาดๆแล้วมานั่งคุยกันต่ออีกสักพัก คุยไปคุยมาเราจากนั่งๆอยู่เราก็มานอนข้างๆกันแล้ว
เรานอนประสานสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง น้องนอนตะแคงมองหน้าผมยิ้มตาหยี
…ผมแพ้สายตากับรอยยิ้มแบบนี้จริงๆ
ผมจับมือเธอขึ้นมาจูบอย่างแผ่วเบา และมองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น
ละจากมือมาจูบริมฝีปากเรียวบางตรงหน้า
ในภวังค์นั้นรู้สึกได้ถึงปลายลิ้นที่ชอนไชเข้ามาในปาก เราจูบแลกลิ้นกันอยู่เนิ่นนาน
จากริมฝีปากนั้นผมค่อยๆไล่มาที่แก้ม… ต้นคอ… ใบหู… ไล่มาถึงหน้าอกคู่งามตรงหน้า และซุกไซ้อย่างไม่รู้เบื่อ
เสียงครางปนเสียงลมหายใจหอบเบาๆ หน้าอกกระเพื่อมตามจังหวะการหายใจของเธอ
มือของเธอเริ่มควานหาช่วงล่างของผม พอเธอจับมันได้ก็เริ่มขยับมืออย่างช้าๆ
ผมเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตา… เธอยิ้ม และขยับตัวลุกขึ้น ดันตัวผมให้นอนลงบ้าง
เธอขยับตัวไปที่ท่อนล่างของร่างกายผม เสยผมทัดใบหู และก้มลงเล่นงานช่วงล่างของผมที่ตั้งตระหง่าน
ภาพที่เห็นตรงหน้าที่เธอขยับหัวขึ้นลง ความรู้สึกเสียวซ่านที่ท่อนล่าง เหล่านี้ยิ่งทำให้อารมณ์มันพุ่งพล่านเข้าไปอีก
ผมปล่อยให้เธอเล่นกับเจ้าตัวน้อยของผมอยู่พักใหญ่ก่อนจะดึงตัวเธอมาจูบแลกลิ้นกันอีกครั้ง
เหงื่อที่เริ่มผุดพรายขึ้นบนผิวกายเป็นสัญญาณบอกถึงช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม
“ใส่ถุงเลยไหมคะ ?” เธอถามในขณะที่คร่อมอยู่บนตัวผม เส้นผมยาวของเธอละไล้ผิวหน้าของผม
เธอจัดแจงจัดการใส่ถุงให้เรียบร้อยก่อนจะขยับตัวขึ้นมา และเป็นหนึ่งเดียวกับผม
เธอร้องครางเบาๆก่อนจะเริ่มขยับตัวช้าๆ
ผมดึงเธอมากอด เสียงลมหายใจหอบข้างหูยิ่งเร้าให้ผมเร่งจังหวะของเราให้เร็วขึ้น
ผมจูบเธอก่อนจะจับเธอพลิกตัวนอนหงาย เรายังคงจูบกันในอ้อมกอดขณะที่ท่อนล่างยังคงขยับเร่งเร้าตามอารมณ์
ใครๆต่างก็บอกว่าเลิฟลี่คนนี้งานแรง แต่สำหรับผมไม่รู้สึกอย่างนั้น
ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น นุ่มนวล ถึงจะเร่งเร้าแต่ก็อ่อนโยนอยู่ในที เธอสามารถตอบสนองในจังหวะเหล่านี้ได้อย่างไม่มีที่ติ
ผมยังคงไซ้อยู่ที่ต้นคอของเธอ ต้นแขนเล็กๆของเธอขยับขึ้น แอบเห็นวงแขนนวลเนียน
ซุกไซ้ลงไปที่วงแขนนั้น ได้ยินเสียงหัวเราะคิกกลั้วมากับเสียงหอบ
น้องแอบอมยิ้มบอกจั๊กกะจี๋
…เจอจุดอ่อนเข้าแล้ว ผมเลยซุกไซ้กับวงแขนเธอต่ออีกรอบ คราวนี้เธอหัวเราะลั่น
เสียงหัวเราะของเราทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป ผมหยุดและมองเธอที่อยู่ตรงหน้า เลิฟลี่ที่ยิ้มตาหยีหัวเราะไม่หยุด
…ผมแพ้สายตากับรอยยิ้มแบบนี้จริงๆ
ยังคงไม่จบเรื่องของเรา ช่วงสุดท้ายผมขยับตัวเร่งจังหวะเร็วขึ้น เสียงร้องของเธอดังลั่นห้อง
เหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนร่างกายของเราสองคนทำให้อากาศในห้องร้อนไปหมด
ในที่สุดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านก็ถูกปลดปล่อยออกไป
ในหัวขาวโพลน
รู้สึกได้ถึงสารความสุขในสมองที่หลั่งออกมาไม่หยุด
ผมลืมตาขึ้น เหงื่อของผมหยดลงบนหน้าอกของเธอ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจหอบ
เธอเองก็เผยอเปลือกตาขึ้นมา สายตาเราประสานกันอีกครั้ง และเธอยิ้มตาหยีให้ผม
…น่ารักจัง
…ผมแพ้สายตากับรอยยิ้มแบบนี้จริงๆนั่นแหละ
หลังจากทุกอย่างจบลง ผมยังคงจูบกับเธออย่างไม่รู้เบื่อ ไม่อยากจะละจากช่วงเวลาอย่างนี้ อยากให้มันยาวต่อเนื่องไปนานเท่านาน
ผมตัดใจจบบทรักของเราด้วยการจูบหน้าผากของเธอเบาๆ
เธอตอบรับผมด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
ก่อนหน้านั้นน้องบอกว่าหลังๆมานี้น้องค่อนข้างเลือกรับงานกับลูกค้าประจำมากกว่า
เพราะลูกค้าใหม่บางคนมาก็ไม่ค่อยโอเค บางคนมาแบบหื่นๆแรงๆน้องเองก็รับไม่ไหว
“แล้วตอนเจอพี่ครั้งแรกน้องไม่กลัวพี่หื่นเหรอ ?” ผมลองถาม
น้องเอียงคอมองหน้า “ไม่หรอกค่ะ ส่วนใหญ่หน้าตาแบบพี่ไม่ค่อยหื่น”
….หน้าตาแบบไหนกันล่ะนั่น
“งั้นถ้าขอเป็นลูกค้าประจำด้วยอีกคนได้ไหมครับ ?”
เธอยิ้มตอบตาหยี รอยยิ้มที่สดใสที่ผมคุ้นเคย
รอยยิ้มที่ผมแพ้ทุกครั้งที่ได้เห็น…
ขอบคุณทัชมาฮาลและน้องเลิฟลี่ครับ
ขอบคุณที่ช่วยเติมเต็มวันเหงาๆของผม
ไว้มีโอกาสจะขอกลับมาหาอีกนะครับ
เพื่อมาเจอรอยยิ้มแบบนี้อีกครั้ง
**ปอลิง
หากเล่าเวิ่นเว้อไปขออภัยนะครับ
ขอยืมรูปพี่เอ๊บบี้แปะรูปนึงครับ